วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

The Man Who Laughs

 

หนังฝรั่งเศสสุดยิ่งใหญ่ ที่สร้างจากนิยายของนักเขียน วิคเตอร์ อูโก้ ที่นิยายของเขาเคยทำให้คุณประทับใจมาแล้วในหลายหนกับ Les Miserables รวมไปถึง The Hunchback of Notre Dame กับ The Man Who Laughts หรือในชื่อไทย ปาฎิหาริย์รักจากโจ๊กเกอร์
เรื่องราวแห่งตำนานโจ๊กเกอร์เมื่อเด็กหนุ่มผู้ที่เคยมียศฐาบันดาศักดิ์กลับ ต้องเป็นผู้เคราะห์ร้ายเมื่อมีคนมากรีดใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็ถูกขับไล่ออกไปสู่โลกแห่งความจริงที่หนาวเหน็บและไร้คนต้อนรับ แต่แล้วชายผู้มีจิตใจเมตตาก็เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ?กวินเปลน? เติบโตขึ้นมาท่ามกลางคณะแสดงละครและเมื่อถึงวันที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับ ความจริง เขาจะเลือกเส้นทางไหน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเขากัน
หนังกำกับการแสดงโดยผู้กำกับชาวฝรั่งเศสอย่าง ชอง ปิแอร์ อเมรีย์ ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่เคยอ่านฉบับนิยายของเรื่องนี้มาก่อน แต่สิ่งที่ The Man Who Laughts นำเสนอให้กับคนดูก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยต่างไปจาก Les Miserables ของผู้เขียนเดียวกันสักเท่าไหร่ เพียงแต่ตัวหนังนำเสนอในเรื่องของ ความรัก ไปอีกในมุมนึงเท่านั้นเอง กับการที่หนังยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของ ชนชั้น ฐานะ และ กฏหมาย ซึ่ง The Man Who Laughts นำเสนอตัวละครในภาพของเด็กหนุ่มผู้มีฐานะ ก่อนจะโดนสังคมบีบคั้นเพียงเพราะรอยแผลเป็นอันน่าเกลียด แสดงให้เห็นถึงการแบ่งชนชั้นจากรูปลักษณ์ จนกระทั่งเขาได้มีชื่อเสียง และ เป็นที่ชื่นชอบจากการแสดงละครเวที ซึ่งทำให้เขาต้องเลือกว่า จะยอมจมอยู่กับชีวิตที่ตกต่ำกับหญิงที่รัก หรือจะไปอยู่ในฐานะที่สูงศักดิ์แต่ไร้คนนับถือ
ซึ่งภายหลังหนังก็นำวัตถุดิบที่ปูผ่านตัวละครของ กวินเปลน มาวกเข้าเรื่องของ กฏหมาย และ ชนชั้น ฐานะ ว่าคนส่วนมากนั้นมักจะมองจากรูปลักษณ์ภายนอก และ ฐานะเงินทอง มากกว่าจะมองจากภายใน ไม่เหมือนกับแฟนสาวตาบอดที่เปรียบเสมือนน้องสาวของเขาอย่าง เดอา ที่รักเขาด้วยจิตใจ จนบางทีคนที่มีดวงตา อาจจะไม่ได้มองเห็นสิ่งใดเลยก็เป็นได้ โดยเรื่องราวความรักของคู่พระ นาง ก็สามารถปูเรื่องมาตั้งแต่เล็กจนโต เข้าคู่กับตัวเรื่องที่ดำเนินไปได้อย่างไม่น่าเบื่อ ถึงแม้อาจจะมีหลายๆช่วงที่การตัดต่อดูสะดุด และ ไร้ชั้นเชิง ไปบ้างก็ตาม
โดย 2 พระนางอย่าง มาร์ค อองเดรย์ กรองแดง และ คริสต้า ธีเร็ต ก็สามารถแสดงได้อย่างเข้าขา รวมไปถึงเคมีแบบแปลกๆ และความทะเยอะทะยานของ อองเดรย์ กรองแดง ในการถ่ายทอดบท กวินเปลน ซึ่งรวมไปถึงตัวประกอบที่โผล่มาขโมยซีน ก็ถือเป็นอีกสีสันนึง ที่ทำให้ตัวหนังไม่น่าอึดอัดกับ โศกนาฏกรรมชนชั้น มากจนเกินไป
เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วคิดว่า The Man Who Laughts อาจจะเป็นหนังแนว ดราม่า โรแมนติค ที่อาจจะขรุขระกับการเล่าเรื่องไปบ้าง แต่โดยรวมสิ่งที่หนังให้กลับมากับเรื่องราวกับประชดประชั้นเรื่องของ ความรัก และ ชนชั้น ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างนึงของตัวหนังและนิยายของผู้เขียนคนนี้นั้นเอง
เรื่องนี้ผมให้ 7/10 ครับ
โดย ลูกอบรสเขียด


ตั้งวง

 

ท่ามกลางหนังฟอร์มยักษ์ที่กำลังเข้าฉายแบบถล่มทะลายในไทย ก็มีหนังไทยเล็กๆเรื่องนึงที่เข้าฉายไปพร้อมๆกัน ซึ่งหลังจากได้จัดฉายทั้งรอบนักวิจารณ์ และ รอบสื่อ ไปเรียบร้อย หลายคนก็ยกมันให้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของปี ซึ่งหนังเรื่องนั้นก็คือ ‘ตั้งวง’ ของผู้กำกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี
ตั้งวง เป็นหนังที่เน้นไปยังกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นเด็กหนุ่มเกรียนๆ 4 คน ยอง / เจ ?เด็กเนิรด์ประจำโรงเรียน เบส นักกีฬาผู้ ไฝ่ฝันที่อยากเป็นตัวแทนโรงเรียน และ เอ็ม เด็กหนุ่มผู้หลงรัก การเต้นคัฟเวอร์เกาหลีเป็นชีวิตจิตใจกับความคิด มักง่ายที่จะทำภารกิจรำแก้บนโดยมี พี่นัท นางรำรับจ้างรำแก้บนเป็นผู้ฝึกสอนครั้งนี้
ซึ่งถ้าหากใครเป็นคอหนังไทยอินดี้ พวกเราคงจะรู้จักกับผู้กำกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี เป็นอย่างดี เพราะเขาคือผู้กำกับจาก กอด, เฉิ่ม และรวมไปถึงเรื่องล่าสุดที่เข้าฉายไปปีที่แล้วอย่าง ‘แต่เพียงผู้เดียว’ แถมยังเป็นมือเขียนบทให้กับหนังดังๆหลายเรื่องอีกด้วย ซึ่งในหนังเรื่องใหม่ของเขาอย่าง ตั้งวง เขาได้กล่าวไว้ว่าเป็นหนังที่แมส ดูง่าย ที่สุดของเขา แต่เชื่อหรือไม่ว่า ในความเรียบง่ายที่ ตั้งวง ต้องการจะนำเสนอ หนังได้ค่อยๆใส่อารมณ์ความเป็นหนังที่พยายามพูดถึงเรื่อง ความเชื่อ ที่ไม่ใช่เพียงนำเอาด้าน ศาสนา มาเป็นตัวอย่าง แต่รวมไปถึงการใช้ชีวิต, ฐานะ และ ความเป็นอยู่ ที่ทั้งหมดมันเป็นตัวตัดสินมนุษย์ หรือเป็นเพียงสิ่งที่ มโน กันขึ้นมา
โดยการนำเอากลุ่มวัยรุ่น มาเป็นตัวคาแรกเตอร์หลักเพื่อสื่อสารผ่านตัวละครวัยนี้ จัดได้ว่าเป็นความคมคายอย่างนึง ที่ยิ่งเสนอประเด็น อนาคตของชาติ ออกมาได้อย่างชัดเจน และ สื่อตรง ผ่านเรื่องราวการตัดสลับความเป็น expectation vs reality ซึ่งก็คือเรื่องราวของ ความคาดหวัง ที่ถูกใส่ผ่านเข้ามาในโลกแห่งความจริง กับการที่วัยรุ่นเท่ๆ เก๋ ป๊อป จะลุกขึ้นมาทำอะไรที่น่าอายอย่าง รำแก้บน ที่หนังค่อยๆตั้งคำถามให้กับคนดูมาเรื่อยๆว่า การกระทำของเราที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เราทำเพราะความเชื่อ หรือเพียง เชื่อว่ามันต้องทำ ซึ่งถ้าหากนับจากหน้าหนัง ที่ดูเหมือนจะเป็นหนังวัยรุ่นเกรียนๆ สดใสๆ ก็นับว่า ตั้งวง เป็นหนังที่พาเราไปได้ไกลกว่านั้น ไกลกว่าเรื่องราวที่มีทั้งคำว่า เพื่อน ครอบครัว ชีวิต ศาสนา ความเชื่อ การกระทำ สถาบัน ฐานะ เพศ และทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่มนุษย์เราตั้งความหมาย ตั้งเอกลักษณ์ให้แก่มัน
ซึ่ง 4 นักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่ ก็นำว่าทำหน้าที่ของตนเองได้ดี สามารถสร้างคาแรกเตอร์ของตนเองออกมาในแบบที่กลุ่มวัยรุ่นสมัยนี้เป็นอยู่ทั้ง เด็กเนิร์ด, เด็กติ่ง และ เด็กเกเร ที่ตัวหนังอาจไม่ได้นำเสนอมุมชีวิตด้านอื่นๆของตัวละครอย่างเท่าเทียม แต่นั่นก็ถือว่าเป็นการตอบโจทย์การวิจารณ์สถาบันสังคมได้อย่างเจ็บแสบพอแล้ว โดยสรุปแล้วผมคิดว่า ตั้งวง เป็นหนังที่ดูง่าย ตรงไปตรงมา ไม่วือหวา แต่ทำจุกและหดหู่ได้ในขณะเดียวกัน ซึ่งหนังก็เข้าฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ ถ้าใครเบื่อหนังบล็อคบัสเตอร์บู๊ระห่ำ และอยากได้หนังไทยดราม่าดีๆสักเรื่อง ตั้งวง ก็จัดได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ครับ
เรื่องนี้ผมให้ 8.5/10 ครับ
โดย ลูกอบรสเขียด


Elysium 2013 เอลิเซียม ปฏิบัติการยึดดาวอนาคต

 

ถือว่าเป็นหนังบล็อคบัสเตอร์ของปีอีกเรื่องนึง ที่จัดได้ว่าฟอร์มดีทั้งผู้กำกับ และ นักแสดง ที่ขนทัพมาตั้งแต่ แม็ท เดม่อน, โจดี้ ฟอสเตอร์ และ ชาร์โต้ คอปลี่ย์ ในหนังแนวแอ็คชั่น ไซไฟ ทุนสร้างมหึมาของผู้กำกับ นีล บอมแคมป์ จาก District 9 ใน Elysium
Elysium นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับยุคอนาคตปี 2154 เมื่อคนเราแบ่งออกเป็น 2 ชนชั้น อันได้แก่พวกมหาเศรษฐีรวยล้นฟ้า และพวกที่มีฐานะด้อยกว่า ซึ่งพวกชนชั้นสูงจะได้อยู่บนดาว Elysium ในขณะที่ชนชั้นล่างจะต้องอยู่บนดาวโลกที่เสื่อมโทรมลงมากแล้ว ทำให้คนชนชั้นล่างพากันเรียกร้องขอ ความเป็นธรรมเพื่อจะได้ไปอยู่บนดาวที่ เจริญแล้วบ้าง แต่ก็ถูกโรดส์ เจ้าหน้าที่รัฐบาลขัดขวาง ในขณะเดียวกัน ชายชื่อแมกซ์ผู้ทนอยู่ในสถานการณ์สิ้นไร้ความหวังแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไป ก็ได้ตัดสินใจลุกขึ้นเดินหน้าเรียกร้องความยุติธรรม เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของตัวเองและผู้คนอีกมากมาย ในศึกครั้งใหญ่ที่นี้
โดยถึงแม้ทางด้านเนื้อเรื่องจะต่างกันสุดขั้วกับ District 9 แต่นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศหนัง หรือ แม้แต่ด้านประเด็นเรื่องการแบ่งชนชั้นใน Elysium ต่างบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนว่า นี้เป็น District 9 ฉบับที่ฟอร์มยักษ์กว่า และ มันส์กว่า ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดูเหมือนจะเป็นตามนั้น เพราะ Elysium จัดได้ว่าเป็นหนังที่ยกยอดมาจาก District 9 เพียงแต่ยกระดับด้านความบันเทิงให้มากขึ้น โดยการยัดฉากแอ็คชั่นไซไฟ ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งผู้กำกับ นีล บอมแคมป์ ก็ถือว่าสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้แล้วว่า เขาสามารถคุมหนังทุนสูงได้อย่างอยู่หมัด ด้วยฉากวินาศสันตะโรมากมายที่ดูบันเทิงเหมาะกับหนังแนวป๊อปคอร์นเป็นขนานแท้
แต่ก็อย่างว่า เมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เมื่อผู้กำกับเน้นไปจับหนังแนวป๊อปคอร์นจนเร็วเกินไป จึงมุ่งหน้าอัดฉีดแต่ความบันเทิง จนอาจจะทำให้เสน่ห์ของด้านเนื้อเรื่องที่พยายามเสียดสีด้านของ ชนชั้น ลดลงไปบ้าง แต่กระนั้นการปูบทด้านการทวงหาความยุติธรรมของ Elysium ก็จัดได้ว่าน่าสนใจ กับการเฉลี่ยเรื่องของการโหยหา ความยุติธรรม ให้แก่ทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายด้านล่าง ก็อยากจะโหยหาความเป็นสุข อยู่บนสถานที่ที่ไร้พิษภัย ส่วนด้านบน ก็ต้องการทวงหาความยุติธรรม ที่ต้องการจะปกป้องผู้คนของตนให้พ้นจากประชนกรด้านล่างที่ไม่ปลอดภัย จนตั้งคำถามได้หลายแง่มุมว่า สรุปแล้วคำว่ายุติธรรมมันยุติธรรมแก่ทุกคน จริงหรือไม่
ซึ่งในแง่ของ โปรดักชั่น ที่นำทุนสร้าง 100 กว่าล้านเหรียญมายกระดับให้หนังเรื่องนี้ ก็สามารถออกแบบ และ ดีไซน์ ฉากของ เอลลิเซี่ยม และ โลกมนุษย์ ได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับกราฟฟิค ดีไซเนอร์ ที่ต้องการหาแรงบันดาลใจจากวัสดุ และ ฉากองค์ประกอบแบบล้ำๆ ที่ผู้กำกับ นีล บอมแคมป์ จัดเต็มไม่ต่างจากครั้งก่อน
โดยการให้ แม็ท เดม่อน และ ชาร์โต้ คอปลี่ย์ แบกรับหนังไว้ตั้งเรื่องถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะเมื่อถึงฉากไฮไลท์การต่อสู้ของทั้ง 2 ตัวละครก็สามารถทำออกมาได้มันส์สะใจ เช่นเดียวกับการแสดงในบทตัวร้ายแนวหญิงแกร่ง ของ โจดี้ ฟอสเตอร์ ที่เสียดสีด้านของสตรีเพศ และ การถ่ายทอดความไร้อำนาจของเพศชายเมื่อเทคโนโลยีครองโลก ซึ่งโดยสรุปแล้วผมคิดว่า Elysium นั้นจัดได้ว่าเป็นหนังแนว แอ็คชั่น ไซไฟ ที่สามารถทำออกมาได้บันเทิง ถูกใจคอหนังแอ็คชั่นอย่างแน่นอน ถึงแม้ด้านของประเด็นหนังอาจจะลดหย่อน และ ไม่เจ็บจี๊ดเท่า District 9 แต่ก็ทดแทนด้วยสิ่งใหม่ๆที่ตอบแทนกันได้อยู่ในระดับนึง
เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
โดย ลูกอบรสเขียด


The Smurfs 2

 

ถ้าหากว่ายังจำกันได้ ในปี 2010 เหล่า เสมิร์ฟ ได้ออกมาโลดแล่นบนจอเงิน ในหนังใหญ่ที่ทำเงินทั่วไปเป็นกอบเป็นกำ โดยตัวหนังนั้นก็สามารถทำออกมาได้ดูเพลินๆตามสไตล์หนังครอบครัวแบบไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นในปีนี้ หนังภาคต่อก็ได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเรื่องราวที่ดูผู้ใหญ่ และ มืดม่น ยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย
The Smurfs 2 เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่น ไลฟ์แอคชั่น การกลับมาของภูติน้อยสีฟ้า และพ่อมดร้ายกากาเมล ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่ยังสร้างลูกสมุนตัวร้ายมาป่วนเหล่าสเมิ?ร์ฟให้วุ่นวาย กับภารกิจการจับเอาตัว เสมิร์ฟเฟ็ต มาเป็นพวกเดียวกับเขา เพื่อที่จะทำให้เขาได้ผลิตน้ำยาที่กลั่นมาจากสารของเหล่าเสมิร์ฟ และครองโลกใบนี้
โดยในหนังภาคต่อนี้หนังยังคงกำกับการแสดงโดย ราจา กอสเนลล์ จากภาคแรก ซึ่งตอนที่เขาทำ เสมิร์ฟ ในภาคแรก ก็ต้องยอมรับว่าตัวหนังสามารถตอบประเด็นความสนุกทั้งครอบครัวออกมาได้ตรงจุด ดูสนุกเพลินๆ ไม่มีพิษมีภัย ถึงแม้ตัวเนื้อเรื่องจะดูไม่ค่อยมีอะไรก็ตาม ว่าแล้วในภาค 2 ผู้กำกับดูเหมือนอยากจะเน้นด้านตัวบทให้มากขึ้น เพื่อผสมผสานไปกับความสนุกที่ต้องการจะถ่ายทอดให้ได้ดีที่สุด โดยประเด็นในตัวหนังที่ The Smurfs 2 พูดถึงก็ดูเหมือนจะใหญ่เกินตัว และ มืดม่นกว่าหนังเด็กแนวสไตล์ใสๆเกินไปด้วยซ้ำ กับการที่ตัวหนังต้องการพูดเรื่อง การยอมรับ กับการวางตัวบทปูปมปัญหาให้กับตัวละคร สเมิร์ฟเฟ็ต รวมไปถึงคุณปู่ผู้เหลวแหลก ที่เข้ามาในชีวิตของ? แพทริค ซึ่งการที่หนังหยิบเอาประเด็นที่ใหญ่เกินตัวขนาดนี้มาเล่น จัดได้ว่าเป็นจุดขายที่จัดจ้าน และ น่าชื่นชม ของตัวหนังภาคนี้ ที่พยายามสร้างมิติให้กับจักรวาลของ เสมิร์ฟ ได้อย่างหลายด้าน
url
ถึงแม้ว่าช่างน่าเสียดายเมื่อบทสรุปของตัวประเด็นที่หนังสร้างขึ้นมา กลับไม่สามารถกล้าที่จะปิดประเด็นของตัวหนังได้อย่างคมคายเหมือนตอนเปิด แถมยังถูกการนำเสนอที่เด็กจนเกินไปกลบไปเสียหมด เพราะตัวหนังในภาคนี้กลับไม่ได้เน้นความสนุกทั้งครอบครัวแบบในภาคแรกอย่างที่รู้สึกได้ แต่ตัวหนังกลับค่อนข้างที่จะนำเสนอมุกตลกที่ขายตลาดของเด็กอายุ 8 ขวบหรือต่ำกว่านั้นมากเกินไปสักหน่อย เลยอาจจะทำให้ผู้ชมที่อายุอานามมากกว่านั้น ไม่ได้รู้สึกสนุกกับหนังชุดนี้อีกต่อไป ในด้านของการนำเสนอตัวละครเสมิร์ฟ ที่เราอาจจะรักจะหลงในภาคแรก
แต่ในขณะเดียวกัน ในด้านตัวละครของมนุษย์ ในภาคนี้ก็ดูเหมือนจะมีน้ำมีเนื้อไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตัวละครของ แพทริค ที่ยังคงนำแสดงโดยนักแสดงขาโจ๋อย่าง นีล แพทริค แฮร์ริส ที่นอกจากจะสามารถสร้างสีสันให้กับตัวหนัง เพื่อเอาใจผู้ชมทั่วไปทั้งชาย และ หญิงได้อย่างสำเร็จแล้ว การเข้าขากับตัวละครของ เบรนเดน กลีสัน ก็สามารถสร้างความประทับใจเล็กๆ ที่อาจจะซ้ำซาก แต่ก็ยังอบอุ่นได้เป็นอย่างดี โดยทางด้านโปรดักชั่น และการถ่ายทอดเมือง ปารีส ในภาคนี้ก็ยกระดับจาก นิวยอร์ค ในภาคที่แล้วออกมาได้สวยงาม การใช้ระบบ 3D กับตัวหนัง และ CG ก็ยังเป็นอีกจุดขายที่น่าพอใจ
เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วผมคิดว่า The Smurfs 2 อาจจะมีประเด็นของตัวเรื่อง ที่ค่อนข้างใหญ่ และ มืดม่น เกินกว่าหนังเด็กจนน่าสนใจในทีแรก แต่เพราะการนำเสนอของหนังที่อาจจะเอาใจเด็กๆหนูๆมากเกินไปเสียหน่อย เลยทำให้ภาคต่อเรื่องนี้กลายเป็นความสนุก และ บันเทิง สำหรับคุณหนูๆเพียงอย่างเดียว กลับไม่ใช่ทั้งครอบครัว แบบที่ภาคแรกเคยทำไว้ซะอย่างนั้น
เรื่องนี้ผมให้ 6/10 ครับ
โดย ลูกอบรสเขียด


วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Gravity มฤตยูแรงโน้มถ่วง

 

เป็นหนังอวกาศที่มีปัญหาทั้งในด้านของการถ่ายทำ และ นักแสดง ที่ต้องคัดเลือกนักแสดงให้มาเล่นกันอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่มีใครยอมมาเล่น จนกระทั่งมาลงเอยกับ 2 นักแสดงอย่าง จอร์จ คลูนี่ย์ และ แซนดร้า บูลล็อค ในหนังอวกาศทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญ ของผู้กำกับ อัลฟรองโซ่ คัวรอน จาก Children of Men ใน Gravity
Gravity ? กราวิตี้ มฤตยูแรงโน้มถ่วง เป็นเรื่องราวของแม็ต โควอลสกี้? (จอร์จ คลูนีย์) กับ ดร. ไรอัน สโตน? (แซนดร้า บูลล็อค) ที่ต้องออกไปทำภารกิจในห้วงชั้นอวกาศนอกโลก เรื่องราวจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะสามารถมีชีวิตรอดกลับบ้านหรือไม่ ติดตามได้วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์
 

ผู้กำกับ อัลฟรองโซ่ คัวรอน มักจะรู้จักกันดีในนามของผู้กำกับที่ได้ชื่อฉายาว่าเป็นคนที่ทำฉากการถ่ายลองเทค ออกมาได้น่าตื่นตา และ มีศิลปะ เช่น ฉากขับรถก่อนเจอวิกฤติใน Children of Men ที่เป็น ลองเทค ความยาวเกือบ 4 นาที แต่นั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่เรื่องเด็กๆเสียแล้ว เมื่อหนังเรื่องใหม่ของเขาอย่าง Gravity มีฉากลองเทค เปิดตัวหนังยาวนานเกือบ 15 นาที โดยฉากนั้นก็ถือว่าเป็นการเปิดตัวโลกในอวกาศออกมาได้อย่างสวยงาม น่าตื่นตา แบบที่หลายๆคนฝันถึง ก่อนที่มันจะนำพามาซึ่งฝันร้าย เมื่อมีเศษซากชิ้นส่วนของสถานีอวกาศที่พังแล้ว มาพุ่งชนใส่สถานีอวกาศที่พระนางทั้ง 2 กำลังซ่อมแซมอยู่ ก่อนที่หลังจากนั้นตัวหนังจะแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของ อวกาศ ที่เต็มไปด้วยความเงียบ ว่างเปล่า และ ไร้ทางออก ไม่ใช่สถานที่เที่ยวแบบที่ใครหลายคนเคยฝันไว้
 

โดยบนความเงียบ และ ว่างเปล่า นั้น ผู้กำกับ อัลฟรองโซ่ คัวรอน สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเต็มที่ในการพยายามถ่ายทอดฉากระทึกกดดัน และทำให้คนดูลุ้นจนตัวโก่งแบบไม่ต้องคิดชีวิต ผ่านการดิ้นรนหนีตายของตัวละคร แซนดร้า บูลล็อค และ จอร์จ คลูนี่ย์ ซึ่งแต่ละฉากนั้นนอกจากจะน่าตื่นตาจนอ้าปากค้าง ยังมี วิชวล เอฟเฟ็กต์ ที่สวยงาม น่าจับตา พร้อมกับมิติการถ่ายภาพรูปแบบอวกาศทั้งในมุมที่สวยงาม และ น่ากลัว พร้อมพยายามสื่อความหมายด้วยภาพอีกหลายๆฉาก ซึ่งนับว่าเป็นมิติใหม่ของหนังอวกาศ ที่สามารถทำออกมาได้เทียบชั้นกับ 2001 Space odyssey
เช่นเดียวกับทางด้านดนตรีประกอบโดย สตีเว่น ไพรส์ ที่สามารถทำให้ตัวหนังทั้งลุ้นระทึกจนตัวเกร็ง และ มีมุมความเหงา สิ้นหวัง ที่น่าจับใจไปในขณะเดียวกัน ซึ่งรวมไปถึงด้านของประเด็นเรื่องการปล่อยวางในตัวหนัง ที่สามารถรวบยอดเข้ากับเนื้อเรื่องได้อย่างไม่ยัดเยียด เข้ากับตัวบทที่ปูมิติทั้งด้านครอบครัว และ ตัวละคร ในทีแรกเช่นเดียวกัน โดยภาพ 3D ของตัวหนังก็ถือว่าเป็นอีกเครื่องมือที่ตัวภาพยนตร์สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้เต็มที่ มีทั้งฉากที่ให้ความรู้สึกอึดอีด สิ้นหวัง และรวมไปถึง สวยงาม โดยเฉพาะใครที่ชมในระบบ Imax 3D น่าจะคุ้มกันทีเดียว
ซึ่งทางด้านนักแสดงอย่าง แซนดร้า บูลล็อค และ จอร์จ คลูนี่ย์ ก็ถือว่าสามารถแบกรับหนังพร้อมๆกับ ซีจี ได้อย่างไม่น่าขัดใจอะไรจน โดยเฉพาะ แซนดร้า บูลล็อค ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่ทำให้เธอกลับมาโชว์ฝีมือการแสดงได้เต็มที่อีกครั้ง เพียงแค่ผ่านการแสดงสีหน้าของเธอ ก็สามารถถ่ายทอดทั้งมุมของสถานการณ์ตึงเครียด สิ้นหวัง สวยงาม ได้อย่างน่าตื่นตา
เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วผมคิดว่าตัวหนัง Gravity จัดได้ว่าเป็นตัวหนังอวกาศ ที่สามารถเล่นกับสภาพแวดล้อม พร้อมกฏที่ตัวหนังสร้างขึ้นมาได้อย่างตรงไปตรงมา สร้างความระทึกขวัญบนสถานที่ที่ทุกคนอยากไป, สร้างความกดดัน ในสถานการณ์ที่สวยงาม และที่สำคัญคือหนังสามารถใช้ประโยชน์จากทุกด้านที่มีอยู่ในภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพ, เสียง, มุมกล้อง, นักแสดง ออกมาได้อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นหนังที่ยากจะลืมเลือน โดยเฉพาะในระบบ 3D เช่นกัน
 

เรื่องนี้ให้ผมให้ 8.5/10 ครับ
โดย ลูกอบรสเขียด


Conan The Movie 17 โคนันเดอะมูฟวี่ 17 Private Eye in the Distant Sea ฝ่าวิกฤตเรือรบมรณะ



โคนัน กลับมาแล้ว ก็เหมือนกับเกือบทุกๆปี ที่ โคนัน จะต้องออกภาค เดอะ มูฟวี่ ออกมาเพื่อให้แฟนๆได้ดูกัน โดยในภาคล่าสุดนี้ชื่อตอนว่า Private Eye in the Distant Sea หรือในชื่อไทยคือ ฝ่าวิกฤตเรือรบมรณะ ซึ่งเป็นตอนที่เขียนขึ้นมาใหม่ ไม่เคยปรากฏในโคนันตอนไหนๆมาก่อนเสียด้วย
โคนันในภาคนี้ เริ่มต้นเมื่อ เรือลึกลับซึ่งบรรทุกระเบิดลอยอยู่บนผืนทะเลยามรุ่งอรุน และเรือลำนั้นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ณ ท่าเรือไมซุรุ จังหวัดเกียวโต.?? ระหว่างการเปิดให้เข้าร่วมกิจกรรมท่องทะเลไปกับเรือรบอีจีส โดยกองกำลังป้องกันตนเองโคนัน, รัน, โคโกโร่ และเหล่านักสืบรุ่นจิ๋ว ที่ตื่นตาไปกับการล่องเรือรบที่ติดตั้งอาวุธสุดล้ำสมัย แต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียงกึกก้องดังสนั่นขึ้น ภายในเรือรบเต็มไปด้วยความวุ่นวายในไม่ช้าก็พบศพที่แขนซ้ายหายไป! ความตื่นตระหนกได้เพิ่มขึ้นเมื่อทราบว่าศพนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ในกองกำลัง ป้องกันตนเอง!! ณ จุดเกิดเหตุมีร่องรอยอันน่าสงสัยหลงเหลืออยู่มากมาย..โคนันที่มุ่งสู่การ สืบสวนได้พบว่ามีสปายจากต่างประเทศไหนสักแห่งที่เรียกตัวเองว่า ?X?อยู่บนเรือรบลำนี้? และแท้จริงแล้ว ?X? คือใครกันแน่?
โดยในภาคนี้หนังกำกับโดย ชินซูโนะ โคบัน ซึ่งส่วนตัวผมนั้นก็เป็นคนที่ค่อนข้างชื่นชอบ โคนัน มากพอสมควร แต่ส่วนมากก็อ่านแต่หนังสือการ์ตูน ไม่ก็ดูเป็นตอนๆไป โดยฉบับของ เดอะ มูฟวี่ ก็ไม่ได้ติดตามดูมาตั้งแต่ตอนที่ 10-11 แล้ว เพราะฉะนั้นในภาคนี้ที่ดูนั้นก็เปรียบเสมือนการกลับไปเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน และผลปรากฏออกมาก็ไม่ได้ผิดหวังเสียด้วย กับด้านความบันเทิงที่หนังยังมอบให้แบบสไตล์ โคนัน ที่เราเห็นในการ์ตูน โดยถึงแม้ว่าจุดด้อยของ Conan the Movie ในภาคที่ 17 อาจจะไม่สามารถใส่ลูกล่อลูกชน และ เล่าเรื่องได้ดีสักเท่าไหร่ เพราะมุกของหนังที่ใช้มาเล่าเรื่องนั้นค่อนข้างซ้ำซาก จนทำให้หลายคนอาจจะง่ายต่อการเดาถึงคนร้ายที่แท้จริง หนำซ้ำพอรูปคดีเปิดเผยแล้วก็อาจจะดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่นัก
แต่กระนั้นแล้ว ในขณะเดียวกัน ด้านของความบันเทิง ในตัวหนังภาคที่ 17 นี้จัดได้ว่าสามารถมอบให้คนดูได้อย่างพออิ่ม เต็มไปด้วยเสน่ห์ความเป็นโคนัน ที่เน้นเรื่องของ รัน มากเพิ่มขึ้น โดยหนังจับเอาฉากที่ประทับใจๆใน โคนัน เอามาใส่รวมกันได้อย่างสนุกสนาน และเซอร์วิสแฟนๆอย่างเร้าใจ นอกจากนั้นแล้วยังนำเอาตัวละครเด่นๆแทบทุกตัวกลับมาอยู่รวมกันได้อย่างอบอุ่นเป็นอย่างดี
ซึ่งถึงแม้ว่าโดยรวมแล้ว โคนัน ในภาคนี้อาจจะไม่ได้ทำออกมากลมกล่อม หรือ สมบูรณ์แบบไปในทุกอย่าง แต่ถ้าหากมองถึงด้านความบันเทิงของตัวหนังที่เซอร์วิสให้แฟนๆ โคนัน แล้ว ก็ถือว่าดูสนุกอยู่เช่นเคยครับ
 
 
เรื่องนี้ผมให้ 7/10
โดย ลูกอบรสเขียด

Escape Plan : 2 ตำนานแหกคุกเถื่อน



ไม่รู้ว่าคุกนี้จะเรียกว่าอะไร ที่คิดจะจับเอา 2 คนโคตรตำนานมาขังรวมกัน เพราะไม่ต้องคิดเลยว่าความพังพินาศจะมาเยือนคุกนี้เมื่อไหร่ กับหนังเรื่องล่าสุดจับเอา ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และ อาร์โนลด์ มาร่วมกันแบบเต็มๆ หลังจากมาเจอกันแค่เป็นน้ำจิ้มใน The Expendables กับ Escape Plan
เรื่องราวของ เรย์ เบรสลิน (ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน) ผู้เชี่ยวชาญในระบบรักษาความปลอดภัย ผู้ออกแบบเรือนจำทุกแห่งบนโลก และยังมีทักษะในการเอาตัวรอดสูง แต่แล้วเขากลับถูกใส่ร้ายและถูกคุมขังเอาไว้ใน เดอะ ทูม เรือนจำชั้นยอดที่เขาเป็นผู้ออกแบบเอง โดยในนี้เขาก็ได้พบกับ ร็อดเมเยอร์ (อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์) หัวหน้าของกลุ่มนักโทษในสถานที่แห่งนี้ ในขณะที่ เรย์ ต้องร่วมมือกับ ร็อดเมเยอร์ เพื่อวางแผนที่จะแหกคุก เขาก็ต้องค้นหาว่าใครและทำไมตัวเองถึงถูกใส่ร้ายด้วย
หนังกำกับการแสดงโดย มิเกล ฮาร์ฟสตรอม จากหนังสยองขวัญ 1408 ที่โปรเจคการจะเอาทั้ง อาร์โนลด์ และ ซิลเวสเตอร์ มารวมกันในหนังเรื่องเดียว มีการวางแผนไว้ตั้งแต่ยุค 80 แต่เนื่องด้วยคิวของทั้งคู่ไม่ว่าง แถมยังติดการที่อาร์โนลด์ไปเป็นผู้ว่าในภายหลังอีก ทำให้ตอนนี้ Escape Plan เพิ่งจะเป็นหนังเรื่องแรกที่จับเอาทั้งคู่มาอยู่บนจอร่วมกันแบบเต็มๆเสียที ซึ่งถ้าหากคุณยังคงจำได้ว่าตอนสมัยก่อน เวลาคุณดูหนังแอ็คชั่นยุค 80-90 แล้วคุณรู้สึกอย่างไร ที่ได้เห็น ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน อัดคนเละใน Rocky รวมถึงยิงล้างบางใน Rambo ส่วน อาร์โนลด์ ก็ฆ่าเอเลี่ยนใน Predators พร้อมกับถล่มเมืองราบใน True Lies คุณก็จะได้ความรู้สึกแบบนั้นใน Escape Plan อย่างแน่นอน
เพราะเรียกได้เลยว่าตัวหนังค่อนข้างจะเดินตามรอยความเป็นหนังแอ็คชั่นในยุค 90 เอามากๆ โดยที่ตัวหนังไม่ต้องสนใจบท และ ความสมเหตุสมผล เพียงแต่ขายฉากแอ็คชั่น และ ดารานำ ก็เป็นพอ โดยถ้าหากมองด้านของความบันเทิง ก็ต้องยอมรับเลยว่าหนังสามารถทำสำเร็จ โดยเฉพาะใครที่เป็นแฟนๆของป๋า 2 คนนี้มีฟินอย่างแน่นอน ซึ่งฉากแอ็คชั่นดังกล่าวที่หนังเสนอมาให้คนดูส่วนมากนั้นก็จะเน้นการวางแผนแหกคุก และ แอ็คชั่นตอนลงมือทำจริง ซึ่งมันก็สามารถตอบสนองความเป็นหนังแอ็คชั่นดูเอามันส์ให้คนดูได้อย่างถูกกลุ่ม กับการอัดแน่นขายความเจ๋งของ ดารานำ
ถึงแม้ว่าโดยรวมหนังอาจจะมีผิดหวังไปบ้าง กับการนำเสนอเรื่องคุกของ เดอะ ทูม ที่วางตัวมาล้ำยุค และ น่าสนใจ แต่พอเข้าสู่สถานการณ์จริง หนังกลับไม่ได้โชว์ความสามารถ หรือ ความโหดเหี้ยมของ เดอะ ทูม ให้เราเห็นมากเท่าที่ควร กว่าจะรู้ตัวอีกก็โดน 2 ป๋าวางแผนลอบกัดซะแสบไปหมดแล้ว รวมไปถึงขั้นตอนการวางแผน และ ช่วงดำเนินจริง ที่ทุกอย่างมันช่างลงล็อค และ ง่ายดายไปเสียทุกอย่าง แทบจะไร้อุปสรรคสำหรับ 2 ตัวละครซะจริงๆ
แต่ก็อย่างว่า ถ้าหากคุณคิดถึงหนังแอ็คชั่นมันส์ๆสไตล์ยุค 80 คล้าย The Rock ประมาณนั้น Escape Plan ก็น่าจะตอบสนองสิ่งนั้นให้คุณได้ในระดับนึง รวมไปถึงแฟนๆของ 2 ป๋าที่น่าจะชื่นชอบตัวหนังอย่างแน่นอนครับ
เรื่องนี้ผมให้ 7/10 ครับ
โดย ลูกอบรสเขียด